• อาคารพญาไท พลาซ่า
  • ชั้น 33 ติด BTS
  • สถานี พญาไท ทางออกที่ 1
  • อาคารพญาไท พลาซ่า
  • ชั้น 33 ติด BTS
  • สถานี พญาไท ทางออกที่ 1
ก้าวแรกสู่การนอนที่ดี
การตรวจการนอนหลับ
ง่ายกว่าที่คิด

ก้าวแรกสู่การนอนที่ดี

การตรวจการนอนหลับ
ง่ายกว่าที่คิด
Table of Contents

การตรวจการนอนหลับ คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจคุณภาพการนอนของตัวเองได้ลึกขึ้น การนอนหลับที่มีคุณภาพส่งผลโดยตรงต่อร่างกายและสมอง ทั้งความสดชื่น ระบบภูมิคุ้มกัน และการลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน

การตรวจการนอนหลับ ช่วยให้เห็นถึงปัญหาการนอนที่อาจซ่อนอยู่ เช่น กรน เสียงหายใจสะดุด หยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือการตื่นกลางดึก ปัจจุบันการตรวจการนอนหลับสามารถตรวจได้ที่บ้านด้วยอุปกรณ์ที่แม่นยำ ผลที่ได้ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับพฤติกรรม หรือการเทคโนโลยีรักษาการนอนกรนที่ทันสมัย เพียงก้าวเล็ก ๆ นี้ ก็ช่วยให้คุณนอนหลับสบายขึ้น สุขภาพดี และมีพลังในทุก ๆ วัน

ทำไมการนอนหลับที่ดีถึงสำคัญ ?

การนอนหลับที่มีคุณภาพไม่ใช่แค่เรื่องการพักผ่อน แต่เป็นรากฐานสำคัญของสุขภาพทั้งร่างกายและสมอง การนอนหลับเพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ปรับสมดุลฮอร์โมน และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ การนอนดีช่วยให้ สมองทำงานเต็มประสิทธิภาพ ลดความเครียดและเพิ่มสมาธิ

ด้านสุขภาพนอนเพียงพอ (7–9 ชม.)นอนน้อย (<6 ชม.)
สมอง ความคิดสมาธิดี ความจำดีสมาธิลดลง ความจำสั้นลง
ระบบหัวใจหลอดเลือดความดันปกติ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจความดันสูง เสี่ยงโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ต้านเชื้อโรคได้ดีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย
น้ำหนัก / เมตาบอลิซึมควบคุมน้ำหนักได้ดีน้ำหนักเพิ่มง่าย เสี่ยงเบาหวาน
อารมณ์ / ความเครียดอารมณ์ดี เครียดน้อยอารมณ์แปรปรวน เครียดสูง
ฟื้นฟูร่างกายร่างกายซ่อมแซมดีร่างกายฟื้นตัวช้า

การตรวจการนอนหลับคืออะไร ?

Sleep Test คือการตรวจคุณภาพการนอนหลับโดยวัดหลายปัจจัยพร้อมกัน เช่น คลื่นสมอง ระดับออกซิเจน การเต้นของหัวใจ การหายใจ การเคลื่อนไหวของดวงตาและร่างกาย เพื่อหาความผิดปกติของการนอน เช่น นอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงได้

ที่ VitalSleep Clinic มีบริการตรวจที่บ้าน เพื่อให้ได้ผลใกล้เคียงกับการนอนจริงมากที่สุด การตรวจนี้ถือเป็น มาตรฐานสูงสุด (Gold Standard) ในการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ

สัญญาณเตือนว่าคุณควรตรวจการนอนหลับ

  1. กรนเสียงดังหรือหยุดหายใจขณะหลับ
    การกรนเป็นเรื่องปกติสำหรับบางคน แต่ถ้าเสียงกรนดังมาก หรือมีช่วงหยุดหายใจสั้นๆ ระหว่างนอน นั่นอาจเป็นสัญญาณของ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งอาจทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  2. ตื่นกลางดึกหลายครั้ง หรือตื่นมาไม่สดชื่น
    การตื่นบ่อยในตอนกลางคืนทำให้คุณภาพการนอนลดลง ร่างกายและสมองไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แม้จะนอนครบชั่วโมงที่แนะนำ ก็อาจรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนล้าในวันถัดไป
  3. ง่วงระหว่างวันบ่อย หรือสมาธิลดลง
    นี่คือสัญญาณว่าการนอนหลับไม่ต่อเนื่อง การง่วงนอนระหว่างวันอาจส่งผลต่อการทำงาน การเรียน หรือความปลอดภัยในการขับขี่ นอกจากนี้ยังบ่งบอกว่าร่างกายไม่ได้ฟื้นฟูเต็มที่ขณะหลับ
  4. ปวดหัวตอนเช้า หรือมีความดันโลหิตสูง
    ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(OSA) ทำให้สมองและร่างกายขาดออกซิเจนชั่วคราว การตื่นมาพร้อมอาการปวดหัวหรือมีความดันโลหิตสูงอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณควรตรวจการนอนหลับ
  5. เหนื่อยง่ายแม้พักผ่อนเพียงพอ
    ถ้าคุณนอนครบ 7–8 ชั่วโมงแล้ว แต่ยังรู้สึกอ่อนล้า นั่นอาจหมายถึงคุณภาพการนอนไม่ดี การตรวจการนอนหลับสามารถช่วยวิเคราะห์ว่าเกิดจากการหยุดหายใจ การกรน หรือปัจจัยอื่นที่ทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่

สัญญาณเหล่านี้แม้ดูเล็กน้อย แต่หากเกิดขึ้นบ่อย อาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งควรได้รับการตรวจเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพระยะยาว

การตรวจการนอนหลับ

การตรวจนอนหลับที่ VitalSleep Clinic สะดวกสบาย ตรวจง่ายที่บ้าน

ที่ VitalSleep Clinic เรามีบริการ Home Sleep Test ที่ช่วยให้คุณตรวจคุณภาพการนอนหลับได้ง่าย ๆ ผู้เชี่ยวชาญจะเตรียมอุปกรณ์และสอนการใช้งานให้ครบถ้วน จากนั้นคุณสามารถนอนหลับตามปกติที่บ้านของตัวเอง เพื่อให้ผลการตรวจสะท้อนพฤติกรรมการนอนจริงอย่างใกล้เคียงที่สุด

ตรวจการนอนหลับ ก้าวเล็กๆ ที่คุณทำได้วันนี้ที่ VitalSleep Clinic

การตรวจการนอนหลับไม่จำเป็นต้องยากหรือซับซ้อน เพียงเริ่มก้าวเล็ก ๆ ด้วยกาตรวจการนอนหลับที่ VitalSleep Clinic คุณจะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้และการตรวจที่เหมาะกับสภาพร่างกายและไลฟ์สไตล์ของคุณ พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คอยให้คำแนะนำ ตั้งแต่การตรวจเบื้องต้น การติดตามผล ไปจนถึงแนวทางการรักษาและปรับพฤติกรรมการนอน

สรุป

การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการดูแลสุขภาพ เพราะช่วยค้นหาปัญหาที่ซ่อนอยู่จากสัญญาณเตือนเล็กๆ เช่น การนอนกรน ง่วงผิดปกติ หรือปวดหัวตอนเช้า ผลการตรวจจะบอกได้ว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) หรือปัญหาอื่นๆ ที่กระทบการนอนหรือไม่ การเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้วางแผนการรักษาได้ตรงจุด เพียงก้าวเล็กๆ นี้ อาจเปลี่ยนคุณภาพการนอนและสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจการนอนหลับ (Faqs)

1. ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนตรวจ ?

ควรนอนหลับตามเวลาปกติ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ

2. ผลตรวจใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะทราบ ?

หลังตรวจประมาณ 1–2 สัปดาห์ แพทย์จะวิเคราะห์ผลและให้คำแนะนำการรักษา

3. การตรวจการนอนหลับเหมาะกับใคร ?

เหมาะกับทุกคนที่อยากปรับปรุงคุณภาพการนอน โดยเฉพาะผู้ที่กรน หยุดหายใจขณะหลับ หรือรู้สึกเหนื่อยง่ายแม้พักผ่อนเพียงพอ

4. ผลตรวจการนอนหลับสามารถฟังผลกับทาง VitalSleep อย่างไรได้บ้าง?

ผลตรวจการนอนหลับสามารถฟังผลได้ทั้งกับแพทย์ที่คลินิกหรือผ่าน Telemedicine ตามความสะดวก

Related Blogs and Articles
Brain stimulation technology

โปรแกรม EXOMIND เทคโนโลยีกระตุ้นสมอง ที่ช่วยให้หลับง่าย หลับลึก หลับไว คุณเคยไหม?... ที่พยายามเข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม แต่ตาแข็งยันตีสอง? หรือแม้จะนอนได้แต่ตื่นมาก็ยังรู้สึกยังไม่สดชื่น เหมือนนอนไม่พอ EXOMIND อาจเป็นคำตอบใหม่สำหรับคนที่กำลังต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ ทำไม? การนอนหลับถึงสำคัญ หลับลึก (Deep Sleep) คืออะไร? Deep Sleep คือช่วงที่สมองของคุณพักผ่อนจริง ๆ เป็นช่วงที่ระบบซ่อมแซมร่างกายเริ่มทำงานเต็มที่ ฮอร์โมนเจริญเติบโตหลั่ง ระบบภูมิคุ้มกันรีเซ็ต และความจำระยะยาวเริ่มเก็บข้อมูล ถ้าคุณไม่มี Deep Sleep คุณจะเหนื่อยง่าย หลงลืม และรู้สึกไม่สดชื่นตลอดวัน ผลกระทบของการนอนไม่พอ ปัญหาการนอนที่คนไทยเจอกันบ่อย เรื่อง “การนอนหลับ” กลับมีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่กำลังเผชิญกับภาวะนอนไม่มีคุณภาพแบบไม่รู้ตัว ปัญหาการนอนหลับไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ "ง่วงตอนกลางวัน" แต่ยังส่งผลลึกไปถึงสมอง หัวใจ อารมณ์ และประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตทุกด้าน โดยเฉพาะ 2 ปัญหาหลักที่พบบ่อย คือ นอนไม่หลับ และ หลับไม่ลึก นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ถ้าคุณเข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม หวังจะตื่นมาสดชื่นในวันพรุ่งนี้ แต่ดันนอนพลิกตัวไปมาเหมือนอยู่บนเตียง ตาแข็งจนถึงตีสอง บางคืนหลับได้ก็จริง แต่กลับตื่นขึ้นมาตอนตีสาม ตีสี่ แล้วนอนต่อไม่ได้อีกเลย อาการเหล่านี้เรียกว่า Insomnia หรือ ภาวะนอนไม่หลับ ในระยะสั้น การนอนไม่หลับอาจทำให้เราง่วง สมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวน แต่ถ้านานวันเข้าจะเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ หลับไม่ลึก รู้สึกไม่สดชื่น บางคนหลับง่ายมาก ๆ แต่ตื่นเช้ามาแล้วกลับรู้สึก “เหนื่อยกว่าเดิม” เหมือนไม่ได้นอนเลย นั่นคือสัญญาณของภาวะหลับไม่ลึก (Poor Deep Sleep) ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่คนไทยมักมองข้าม การหลับไม่ลึกคือการที่ร่างกายไม่ได้เข้าสู่ช่วง Deep Sleep ที่เป็นช่วงที่สมองหลั่งโกรทฮอร์โมน ฟื้นฟูร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ และเคลียร์สารพิษที่สะสมในสมอง EXOMIND คืออะไร? โปรแกรม EXOMIND คือเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็ก (BTL Neurostimulation) โดยใช้หลักการของการกระตุ้นสมองผ่านสนามแม่เหล็กความเข้มต่ำ เพื่อปรับวงจรการนอนให้สมดุลมากขึ้น เทคโนโลยี BTL คือการใช้คลื่นแม่เหล็กระดับต่ำ (Low-Intensity Pulsed Electromagnetic Field หรือ PEMF) ที่ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ช่วยกระตุ้นสมองส่วน Prefrontal Cortex ที่เกี่ยวข้องกับการนอน การผ่อนคลาย และการฟื้นฟูจิตใจ โปรแกรม EXOMIND ช่วยการนอนหลับได้อย่างไร? กระตุ้นสมองส่วนลึกเพื่อปรับวงจรการนอน EXOMIND ช่วยให้สมองปรับคลื่นให้เข้าสู่โหมดพักผ่อนโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดดันตัวเองให้นอน ช่วยให้เข้าสู่ Deep Sleep ได้ไวขึ้น คนที่เข้ารับการทำ EXOMIND อย่างต่อเนื่องจะพบว่าใช้เวลาน้อยลงในการเข้าสู่ระยะหลับลึก และตื่นมาพร้อมความรู้สึกสดชื่นมากขึ้น ใครบ้าง? ควรลองโปรแกรม EXOMIND คนที่มีปัญหาการนอนที่เรื้อรัง หรือเคยลองมาหลายวิธีแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น หากกำลังสงสัยว่า "เราเหมาะกับโปรแกรมนี้ไหม?" มาดูประเภทของคนที่ควรลอง EXOMIND กัน สรุป ไม่ว่าจะเป็น "นอนไม่หลับ" หรือลงนอนแล้ว "หลับไม่ลึก" ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้จบที่ความง่วงตอนเช้า แต่มันสะท้อนถึงสมดุลภายในสมอง ระบบประสาท และสุขภาพโดยรวม ซึ่งการหาแนวทางช่วยฟื้นฟูการนอนตั้งแต่รากฐาน เช่น การใช้โปรแกรม EXOMIND จึงกลายเป็นทางเลือกที่คนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น FAQs คำถามที่พบบ่อย

BiPAP กับ CPAP ต่างกันยังไง

BiPAP และ CPAP เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้การหายใจขัดข้องในช่วงนอนหลับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาการหายใจอุดกั้น ทั้ง BiPAP และ CPAP เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหานี้ แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองเครื่องนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของเครื่อง BiPAP และ CPAP รวมถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละเครื่อง เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมกับตัวเอง ข้อควรรู้ก่อนใช้เครื่อง CPAP CPAP คืออะไร? CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) คือเครื่องช่วยหายใจที่ใช้สำหรับการบำบัดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หลักการของ CPAP คือการสร้างแรงดันอากาศที่คงที่และส่งผ่านท่อเข้าสู่หน้ากากซึ่งครอบไปที่ปากและจมูกของผู้ใช้ แรงดันนี้จะช่วยเปิดทางเดินหายใจและป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นระหว่างการนอนหลับ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจ CPAP จึงเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในผู้ป่วยที่มีปัญหาการหายใจขณะหลับ หลักการทำงานของ CPAP CPAP ทำงานโดยการสร้างแรงดันอากาศที่คงที่ ส่งผ่านท่ออากาศเข้าสู่หน้ากากที่ครอบปากและจมูก ความดันที่เกิดขึ้นจะช่วยเปิดทางเดินหายใจที่อาจถูกบีบอัดหรืออุดตันในช่วงเวลาที่นอนหลับ แรงดันอากาศนี้จะถูกควบคุมให้คงที่ตลอดคืน ไม่ว่าคนไข้จะหายใจเข้าออกในจังหวะใดก็ตาม สิ่งนี้ทำให้การไหลเวียนของอากาศในระบบทางเดินหายใจเป็นปกติ ช่วยลดความเสี่ยงของการหยุดหายใจขณะหลับอย่างมีประสิทธิภาพ ใครบ้าง? ที่ควรใช้ CPAP CPAP เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) ซึ่งเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนในช่วงเวลาที่หลับ นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับทารกที่มีปัญหาปอดพัฒนาไม่สมบูรณ์หรือผู้ที่มีภาวะการหายใจไม่เพียงพอระหว่างหลับ CPAP ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ ทำให้คนไข้รู้สึกสดชื่นและมีพลังงานในช่วงกลางวัน รับคำปรึกษา ฟรี! ขนาดและการพกพาของเครื่อง CPAP เครื่อง CPAP มีหลายขนาดให้เลือก สามารถเลือกตามความเหมาะสมของการใช้งานแต่ละคนได้เลย หากคุณใช้ที่บ้าน ขนาดของเครื่อง CPAP ที่ใหญ่กว่าอาจไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อย การเลือกเครื่อง CPAP ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะสามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้สะดวก ข้อควรรู้ก่อนใช้เครื่อง BiPAP BiPAP คืออะไร? BiPAP (Bilevel Positive Airway Pressure) เป็นเครื่องช่วยหายใจที่มีหลักการทำงานคล้ายกับ CPAP แต่มีความแตกต่างสำคัญในเรื่องของการปรับแรงดันอากาศระหว่างการหายใจเข้าและหายใจออก BiPAP ถูกออกแบบมาให้สามารถสร้างแรงดันอากาศที่แตกต่างกันในจังหวะหายใจเข้าและหายใจออก ในขณะที่เครื่อง CPAP ให้แรงดันคงที่ตลอดเวลา การทำงานนี้ทำให้ BiPAP เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการแรงดันอากาศที่แตกต่างกันระหว่างหายใจเข้าและออก หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบการหายใจซับซ้อน เช่น ผู้ป่วยโรคปอดและโรคทางระบบประสาท หลักการทำงานของ BiPAP เครื่อง BiPAP จะทำงานโดยการส่งแรงดันอากาศ 2 ระดับระดับหนึ่งสำหรับการหายใจเข้า (IPAP: Inspiratory Positive Airway Pressure)ระดับสำหรับการหายใจออก (EPAP: Expiratory Positive Airway Pressure)ความแตกต่างของแรงดันนี้ช่วยให้คนไข้ที่มีปัญหาหายใจเข้าและออกได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อบกพร่อง ทำให้การหายใจกลับมาเป็นปกติ ใครควรใช้ BiPAP? BiPAP เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการหายใจที่ซับซ้อน เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อที่ทำให้การหายใจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาการหายใจแบบซับซ้อนที่ CPAP ไม่สามารถช่วยได้ BiPAP เป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยให้การหายใจกลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดและการใช้งานของเครื่อง BiPAP เครื่อง BiPAP มักจะมีขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกับเครื่อง CPAP แต่การออกแบบส่วนใหญ่จะเน้นที่การทำงานเงียบและให้ความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ หลายรุ่นของ BiPAP ยังมีตัวเพิ่มความชื้นในอากาศที่ส่งผ่านท่อหายใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกในจมูกแห้ง ทำให้การใช้งานรู้สึกสบายขึ้น ความแตกต่างระหว่าง BiPAP และ CPAP ในขณะที่ CPAP ใช้แรงดันอากาศคงที่ในการช่วยรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ BiPAP มีความสามารถในการปรับแรงดันอากาศสองระดับสำหรับการหายใจเข้าและออก ความแตกต่างนี้ทำให้ BiPAP เหมาะกับคนไข้ที่มีภาวะการหายใจที่ซับซ้อนหรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น โรคปอดหรือปัญหาทางระบบประสาทนอกจากนี้ เครื่อง BiPAP ยังมีการทำงานที่ซับซ้อนกว่าซึ่งส่งผลให้ ราคาของ BiPAP มักจะสูงกว่า CPAP อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหาการหายใจรุนแรง ที่ไม่สามารถปรับตัวกับการใช้ CPAP ได้ BiPAP จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากช่วยให้หายใจได้สะดวกและเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหายใจออกที่ BiPAP จะใช้แรงดันที่น้อยกว่าในช่วงหายใจเข้า สรุป CPAP และ BiPAP ต่างก็เป็นเครื่องช่วยหายใจที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ทั้งสองมีหลักการทำงานที่คล้ายกัน แต่มีข้อแตกต่างหลักในเรื่องของแรงดันอากาศที่ใช้ระหว่างการหายใจเข้าและออก CPAP ให้แรงดันคงที่ตลอดเวลา ในขณะที่ BiPAP สามารถปรับแรงดันอากาศตามความต้องการของผู้ป่วยได้BiPAP เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการหายใจที่ซับซ้อน หรือมีภาวะทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ส่วน CPAP เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับทั่วไป การเลือกใช้เครื่องใดเครื่องหนึ่งควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้การรักษาที่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วย การเลือกเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้นและลดความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใครเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

นอนกรนเกิดจากอะไร? เกิดจากการหายใจผ่านช่องทางเดินหายใจที่แคบลงขณะนอนหลับ จากการอุดกั้นของกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในช่องปาก ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณคอ เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และทอนซิล สั่นสะเทือนจนเกิดเป็นเสียงกรนในขณะที่นอนหลับอยู่ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจแคบลง ได้แก่ ระดับความรุนแรงของการนอนกรน สาเหตุของอาการนอนกรน​ อาการนอนกรนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ตามความรุนแรงของอาการและผลกระทบที่เกิดขึ้น ข้อมูลจาก News Medical ดังนี้​ ใครบ้างที่เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ? ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่พบมากในกลุ่มต่อไปนี้ อันตรายจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การตรวจการนอนหลับที่ VitalSleep Clinic กุญแจสู่การนอนหลับที่ดีขึ้น ข้อดีของการตรวจการนอนหลับกับ VitalSleep Clinic วิธีการรักษาอาการนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ จาก VitalSleep Clinic ได้แก่ สรุป ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) เป็นภาวะที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ที่ VitalSleep Clinic เรามีแนวทางการรักษาที่ทันสมัยและหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ลดอาการนอนกรน เพิ่มคุณภาพการนอนหลับ และลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน

เสียงกรนไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ชาย

ผู้หญิงก็มีแนวโน้มที่จะนอนกรนได้ไม่แพ้ผู้ชาย! แม้เสียงกรนอาจเบากว่า หรือพบได้น้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยจากภาวะนี้

ทำไมการตรวจการนอนหลับ ถึงสำคัญ

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในบางคืนเราถึงนอนหลับไม่สนิท ตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังรู้สึกเหนื่อย หรือบางคนอาจตื่นมากลางดึกบ่อย ๆ จนทำให้รู้สึกนอนไม่พอ

นอนกัดฟัน แก้ด้วย Splint

“นอนกัดฟัน” หรือ Bruxism ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมันส่งผลต่อทั้งสุขภาพช่องปาก ข้อต่อขากรรไกร รวมไปถึงคุณภาพการนอนหลับโดยตรง หลายคนคงอาจคิดว่าใส่ Splint ฟัน ก็เพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ แล้ว การรักษาอาการนี้มีได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการhttps://youtu.be/gMdIP1i56ZQ?si=0ipz3OKFiweiis9_ สาเหตุของการนอนกัดฟัน หลายคนอาจไม่รู้ว่าการนอนกัดฟัน ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับระบบร่างกาย จิตใจ และโครงสร้างฟันโดยตรง ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้ความเครียดสะสมเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด ไม่ว่าจะมาจากการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือปัญหาส่วนตัว—กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะเกร็งตัว รวมถึงกล้ามเนื้อกรามและกล้ามเนื้อบดเคี้ยวด้วย การเกร็งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับโดยไม่รู้ตัว และแสดงออกมาในรูปแบบของการกัดฟันภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea)ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักมีปัญหาทางเดินหายใจแคบลงหรืออุดตัน ส่งผลให้สมองสั่งการให้ร่างกายตอบสนองเพื่อเปิดทางเดินหายใจอีกครั้ง หนึ่งในปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นคือ “การกัดฟัน” เพื่อพยายามดันขากรรไกรให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติการสบฟันที่ผิดปกติฟันที่เรียงตัวไม่ดี หรือสบกันไม่พอดี อาจทำให้กล้ามเนื้อบดเคี้ยวต้องทำงานหนักเกินไปเพื่อให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินจำเป็น จึงเกิดการเกร็งสะสม และกลายเป็นพฤติกรรมกัดฟันในเวลานอนได้ในที่สุด อ่านเพิ่มเติม นอนกัดฟัน ปัญหาจุกจิก อาจเป็นเรื่องใหญ่ ปล่อยไว้นานอันตราย รักษาได้ ไม่ต้องผ่าตัด เช็กอาการเสี่ยงนอนกัดฟัน หากคุณนอนคนเดียวหรือไม่แน่ใจว่าตัวเองมีอาการนอนกัดฟันขณะหลับไหม ลองนำข้อมูลจาก Cleveland Clinic  มาสังเกตตัวเองได้จากอาการเหล่านี้ ที่เป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจกำลังมีปัญหานี้อยู่​ตื่นมาแล้วปวดหรือเมื่อยกรามปวดหัว ปวดบริเวณหน้าหู (โดยเฉพาะช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน)มีอาการเสียวฟัน หรือปวดฟันเวลาทานของร้อน/เย็นมีกระดูกนูนบริเวณมุมกราม ใบหน้าเริ่มดูเหลี่ยมขึ้นอ้าปากกว้างไม่ได้ รู้สึกค้างหรือเจ็บขากรรไกร ปรึกษาปัญหานอนกัดฟัน ฟรี! ผลเสียของการนอนกัดฟัน ฟันบิ่น ฟันแตก เพราะเนื้อฟันสึกจากการบดหรือกดทับซ้ำ ๆข้อต่อขากรรไกรอักเสบ (TMD) อาจทำให้เจ็บเวลาพูด เคี้ยว หรืออ้าปากโครงหน้าผิดรูป กระดูกมุมกรามนูน ใบหน้าดูเหลี่ยมกว่าปกตินอนหลับไม่มีคุณภาพ สมองตื่นตัวบ่อย ส่งผลให้ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่รบกวนคนรอบ ๆ ข้าง เสียงบดฟันทำให้คู่ชีวิตหลับไม่สนิท และอาจกระทบความสัมพันธ์ในระยะยาว วิธีรักษานอนกัดฟัน อาการนี้สามารถรักษาได้ และควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน1. การใช้ Splint ฟัน (Occlusal Splint)ช่วยป้องกันการสึกหรอของเนื้อฟัน โดยกระจายแรงกดขณะกัดฟัน และลดอาการเมื่อยกล้ามเนื้อกรามข้อควรระวัง: สำหรับเด็ก การใช้ Splint อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกร และในช่วงแรกอาจทำให้นอนหลับยากขึ้น2.  การฝึกกล้ามเนื้อด้วย Myofunctional Therapyเป็นการบำบัดกล้ามเนื้อใบหน้า และทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งสามารถใช้รักษาการนอนกรน และอาการนอนกัดฟันได้พร้อมกันจุดเด่นของ Myofunctional Therapyช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบดเคี้ยวปรับสมดุลกล้ามเนื้อและการสบฟันแก้ปัญหาต้นเหตุอย่างแท้จริง การรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรทำร่วมกัน ทางที่ดีที่สุดคือการใช้ Splint ฟัน เพื่อป้องกันฟันสึกในระยะสั้น ควบคู่กับ การทำ Myofunctional Therapy เพื่อจัดการที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างแท้จริง และควรตรวจการนอนหลับ Sleep Test เพื่อประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)การวางแผนรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง และทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น แพทย์ด้านการนอนหลับ และนักกายภาพบำบัด เพื่อให้การรักษาเหมาะสมกับแต่ละบุคคลและปลอดภัยที่สุด ปรึกษาวิธีการรักษากับเเพทย์เฉพาะทาง! สรุป การนอนกัดฟันไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ เพราะอาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรัง ฟันสึก ขากรรไกรอักเสบ และปัญหาโครงหน้าในระยะยาว หากสงสัยว่าตัวเองมีพฤติกรรมนอนกัดฟัน ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางหรือทันตแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมก่อนที่อาการจะลุกลาม

Why choose VitalSleep and Wellness
ตรวจคุณภาพการนอนหลับได้จากที่บ้าน

ตรวจการหลับ Sleep Test ที่ VitalSleep and Wellness สะดวก ง่าย ไม่ต้องเดิน ทาง มีเจ้าหน้าที่เดินทางไปติดตั้ง ให้ถึงที่บ้าน อ่านผลการตรวจ โดยแพทย์เฉพาะทาง Dental Sleep Medicine

ลดเสียงกรนด้วยวิธีการที่หลากหลาย

ที่ VitalSleep and Wellness นําเสนอแนวทางการรักษานอนกรน ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ออกแบบ เฉพาะบุคคล รักษาได้ทั้ง แบบไม่ผ่าตัด และแบบผ่าตัด และการรักษาครอบคลุมไปถึงการรักษาอาการนอน กัดฟัน และข้อต่อขากรรไกรอักเสบ

ค้นหา และรักษานอนกรน ที่ต้นเหตุ

เน้นการตรวจเชิงลึกหลายแนวทาง เพื่อค้นหาและวินิจฉัยสาเหตุการรักษาที่แท้จริง มุ่งเน้นรักษาและบําบัดสาเหตุของการกรนที่ต้นเหตุ คือ กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น ด้วย Myofunctional Therapy

แนวทางการรักษาแบบองค์รวม ผสมผสาน

นําเสนอการรักษาที่หลากหลาย ออกแบบเฉพาะบุคล เน้นการรักษาแบบผสมผสาน การรักษาหลายอย่าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ครอบคลุมทุกความแตกต่างของแต่ละบุคคล

ทพ. ดร. อมรพงษ์ วชิรมน

Medical Director
แพทย์เฉพาะทางรักษานอนกรน

VitalSleep and Wellness
ดูแลโดย แพทย์เฉพาะทาง และนักกายภาพบําบัดวิชาชีพ
  • Polysomnography - Sleep Test ตรวจการนอนหลับ
  • เครื่องมือทันตกรรม รักษานอนกรน
  • เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก รักษานอนกรน
  • รักษาอาการ นอนกัดฟัน
  • รักษาอาการ ข้อต่อขากรรไกรอักเสบ ขากรรไกรมีเสียงคลิก
  • บำบัดกล้ามเนื้อใบหน้า และทางเดินหายใจส่วนต้น
  • ผ่าตัดเลื่อนขากรรไกร รักษานอนกรน
…and much more!

Promotion Sleep Test

ตรวจคุณภาพการนอนหลับ

สะดวก ง่าย ทำได้จากที่บ้าน

แพทย์เฉพาะทางอ่านผล

พิเศษ 6,900 บาท

(ปกติ 10,000 บาท)