ลูกนอนกรนหลายคนอาจคิดว่าการนอนกรนเป็นเพียง “นิสัยการนอนเสียงดัง” แต่ความจริงแล้วในเด็ก การนอนกรนถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่ามีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ และอาจส่งผลต่อสมอง พฤติกรรม และการเจริญเติบโตได้
นอนกรนธรรมดากับนอนกรนที่อันตรายต่างกันอย่างไร?
- นอนกรนธรรมดา
เกิดจากความล้าหรือเป็นครั้งคราว เช่น ลูกเป็นหวัด - นอนกรนผิดปกติ
เกิดเป็นประจำทุกคืน ร่วมกับการหยุดหายใจหรือหายใจลำบาก
สาเหตุที่ทำให้ลูกนอนกรน
- โครงสร้างทางเดินหายใจ
เด็กบางคนมีโครงสร้างใบหน้า คาง หรือโพรงจมูกที่เล็ก ทำให้อากาศไหลผ่านลำบาก - ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต
เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของเด็กที่นอนกรน โดยต่อมโตไปกีดขวางทางเดินหายใจ - โรคอ้วนและน้ำหนักเกิน
เนื้อเยื่อไขมันรอบคอทำให้หลอดลมตีบแคบ - ภูมิแพ้และไซนัสอักเสบเรื้อรัง
จมูกอุดตัน หายใจไม่สะดวก ส่งผลให้เด็กหายใจทางปากและกรนได้ - พฤติกรรมการนอนและสิ่งแวดล้อม
เช่น นอนดึก นอนหงาย หรือห้องมีฝุ่นมาก
วิธีสังเกตว่าลูกนอนกรนผิดปกติหรือไม่?
- กรนดังทุกคืน
- มีช่วงหยุดหายใจหรือสะดุ้ง
- ตอนกลางวันง่วง ซึม หงุดหงิด หรือเรียนไม่รู้เรื่อง

มีงานวิจัยในไทยชี้ว่า แม้ความชุกของ OSA ในเด็กจะแตกต่างกันตามประชากรและวิธีตรวจ แต่ความเชื่อมโยงกับผลกระทบด้านพฤติกรรม การเรียน และการพัฒนาทางสติปัญญาถือว่าชัดเจน งานศึกษาพื้นที่หนึ่งในไทยรายงานอัตรา OSA ประมาณ 0.69% ในเด็กอายุ 6–13 ปี ขณะที่งานทบทวนบางชิ้นประเมินว่าความชุกอาจสูงถึง ~4% ในบางประชากร แปลว่าการคัดกรอง และการตรวจ Sleep Test เมื่อสงสัยเป็นเรื่องสำคัญเพื่อลดผลกระทบระยะยาว
นอนกรนในเด็ก กระทบต่อ “สมองและการเรียนรู้”
การนอนกรนเรื้อรังในเด็ก โดยเฉพาะหากมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (OSA) สามารถส่งผลโดยตรงต่อ สมอง การเรียนรู้ และพฤติกรรมในห้องเรียน ได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง ทำให้สมองไม่ได้พักเต็มที่
- ส่งผลต่อสมาธิ ความจำ และพฤติกรรม
- ผลระยะยาวต่อการพัฒนา IQ และทักษะการเรียนรู้
การวินิจฉัยและตรวจเพิ่มเติม
แพทย์เฉพาะทางอาจแนะนำการตรวจ Sleep Test เพื่อตรวจวัดระดับออกซิเจน คุณภาพการนอน และจังหวะการหายใจ เพื่อประเมินว่าลูกมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับหรือไม่
การรักษานอนกรนในเด็กที่ VitalSleep Clinic
การนอนกรนในเด็กไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนอกจากจะรบกวนการนอน ยังอาจส่งผลต่อพัฒนาการ สมาธิ และการเรียนรู้ของลูกได้ VitalSleep Clinic จึงมุ่งเน้นการรักษาที่ ปลอดภัย อ่อนโยน และเหมาะสมตามช่วงวัย โดยใช้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่
1. Myofunctional Therapy
การออกกำลังกายกล้ามเนื้อช่องปากและใบหน้า ช่วยให้การหายใจทางจมูกดีขึ้น ลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ และป้องกันการกรนในระยะยาว
2. Breastfeeding Tongue-Tie Release (FF)
การรักษาภาวะลิ้นติดในเด็กเล็ก เพื่อช่วยให้ลิ้นเคลื่อนไหวได้อิสระมากขึ้น ส่งผลต่อการหายใจ การกลืน และลดโอกาสการกรนตั้งแต่วัยทารก
3. Rapid Palatal Expander (RPE) / Transpalatal Arch (TPA)
อุปกรณ์ทันตกรรมที่ช่วยขยายเพดานปากและปรับโครงสร้างขากรรไกร ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น เด็กหายใจสะดวกและลดการนอนกรน
ตารางสรุปการรักษานอนกรนในเด็กจาก VitalSleep Clinic
| สรุป | Myofunctional Therapy | Breast-Feeding Tongue-Tie Release (FF) | RPE / TPA |
|---|---|---|---|
| หลักการแนวคิด | ฝึกกล้ามเนื้อใบหน้า ลิ้น และการหายใจให้ทำงานได้ดี ลดการกดทับทางเดินหายใจ | ผ่าตัดตัดเนื้อเยื่อใต้ลิ้น (Frenulum) ที่รั้งลิ้น เพื่อให้ลิ้นเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ลดการอุดตันทางเดินหายใจ | ขยายเพดานแข็ง (Maxilla) ด้วยเครื่องมือขยายเพดาน และใช้ TPA ช่วยคงรูป เพื่อเพิ่มช่องทางเดินลม |
| เหมาะกับใคร? | เด็กอายุมากกว่า ~3 ปีขึ้นไป ที่สามารถฝึกแบบมีส่วนร่วมได้ | ทารก หรือเด็กเล็กที่มีภาวะ Tongue-Tie (ลิ้นรั้ง) ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเด็กตอนต้น | เด็กที่มีโครงสร้างเพดานแคบ ค้างหรือมีภาวะอุดกั้นในเพดานแข็ง ต้องการขยายช่องทางการหายใจ |
| ประโยชน์หลัก | • ลดเสียงกรน • ปรับท่าลิ้นและทางหายใจให้เหมาะสม • เสริมสุขภาพช่องปากโดยรวม | • ลดการอุดตันส่วนบนของทางเดินหายใจ • ช่วยให้ลิ้นเคลื่อนที่ได้เต็มที่ • ป้องกันปัญหาภาษา พูด กลืนในอนาคต | • ขยายช่องเพดานและทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น • ลดแรงดันที่อาจกดทับอากาศตอนหายใจ • ช่วยลดอาการกรนหรือภาวะอุดกั้นบางกรณี |
| ข้อจำกัด | • ต้องใช้เวลาและความร่วมมือ • ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนทันที • แก้ปัญหาโครงสร้างที่รุนแรงไม่ได้ | • เป็นการผ่าตัดแม้จะเล็กน้อย • อาจมีอาการเจ็บ บวม หรือเสี่ยงเลือดออก • ต้องประเมินและเลือกรักษาให้เหมาะสม | • อาจมีความเจ็บขณะติดเครื่องมือ • ต้องติดตามการปรับตัวและการดูแล • ไม่ได้แก้ปัญหาทุกจุด เช่น หากมีปัญหากล้ามเนื้อร่วม |
| ผลลัพธ์ที่คาดหวัง | ค่อยเป็นค่อยไป ลดกรนเมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์ในระยะยาว | มักเห็นผลเร็วในด้านการเคลื่อนไหวของลิ้น การหายใจ และลดการอุดตัน | ผลระยะกลางถึงยาวในการเพิ่มช่องทางลมหายใจ ลดแรงกดอากาศในเพดาน |
สรุป
การนอนกรนในเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเสียงดังเวลานอน แต่เป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะภาวะ หยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ที่อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อพัฒนาการ สมอง การเจริญเติบโต และคุณภาพชีวิตของเด็ก
FAQs ปัญหาลูกนอนกรน
1. เด็กเล็กนอนกรนถือว่าปกติหรือไม่?
ไม่ปกติ หากเกิดบ่อยและเสียงดัง ควรพาไปตรวจ
2. ลูกนอนกรนแต่ไม่มีอาการอื่นอันตรายไหม?
ยังถือว่าควรตรวจ เพราะบางครั้งมีภาวะหยุดหายใจแฝง
3. ถ้าลูกนอนกรนต้องทำ Sleep Test ทุกคนไหม?
ไม่จำเป็นทุกราย แต่หากกรนรุนแรงหรือสงสัยมี OSA ควรตรวจ
4. ลูกนอนกรนหายได้เองหรือไม่?
บางรายหายเองเมื่อโตขึ้น แต่ส่วนใหญ่ต้องการการรักษา
5. วิธีป้องกันไม่ให้ลูกนอนกรนมีอะไรบ้าง?
ควบคุมน้ำหนัก จัดห้องนอนให้สะอาด ปรับพฤติกรรมนอนให้ถูกต้อง


