ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) คือภาวะที่การหายใจของเราหยุดลงชั่วคราวระหว่างการนอนหลับ โดยอาจกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงเป็นนาที และเกิดซ้ำหลายครั้งต่อคืน บางคนอาจไม่รู้ตัว แต่ร่างกายจะตื่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อหายใจ ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลงและเกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
สาเหตุเกิดจากการที่กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัว ทำให้ทางเดินหายใจตีบหรือปิดกั้นชั่วคราว ส่งผลให้ปอดได้รับออกซิเจนน้อยลง สมองจึงสั่งให้เราสะดุ้งตื่นเพื่อหายใจต่อ
ชนิดของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- Obstructive Sleep Apnea (OSA)เกิดจากการปิดกั้นทางเดินหายใจ
- Central Sleep Apnea (CSA) เกิดจากสมองไม่ส่งสัญญาณควบคุมการหายใจ
- Mixed Sleep Apnea เป็นการผสมระหว่าง OSA และ CSA
สาเหตุหลักของการหยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่หลัก ๆ แบ่งได้ตามนี้
1. โครงสร้างทางเดินหายใจแคบ
เช่น คางเล็ก ขากรรไกรถอย เพดานอ่อนหย่อนหรือลิ้นโต ทำให้ช่องทางเดินหายใจตีบง่ายเวลาขณะนอนหลับ
2. น้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุง
คนที่มีไขมันสะสมรอบลำคอและช่องคอเยอะ ทำให้กล้ามเนื้อกดทับทางเดินหายใจมากขึ้น
3. กล้ามเนื้อคอหย่อนตามวัย
พบมากในผู้สูงอายุหรือคนที่มีกล้ามเนื้อทางเดินหายใจไม่แข็งแรง
4. พฤติกรรมบางอย่างก่อนนอน
เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือใช้ยานอนหลับ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อคอหย่อนตัวมากขึ้น
5. ปัญหาสุขภาพอื่นร่วมด้วย
เช่น ต่อมทอนซิลโต จมูกอุดตันจากภูมิแพ้ หรือโรคกรดไหลย้อน
| บทความที่เกี่ยวข้อง อาการเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อันตรายแค่ไหน ?
งานวิจัย Myofunctional Therapy to Treat Obstructive Sleep Apnea ในปี 2015 พบว่าการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับบางวิธีสามารถช่วย ลดค่าดัชนี AHI (Apnea-Hypopnea Index) จากค่าเฉลี่ยเดิม 24.5 เหตุการณ์ต่อชั่วโมง เหลือเพียง 12.3 เหตุการณ์ต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าลดลงมากกว่า 50% โดยเฉลี่ย ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การหยุดหายใจขณะหลับดีขึ้น แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพโดยรวม เช่น
- ปรับปรุงระดับออกซิเจนต่ำสุด (Lowest Oxygen Saturation)
ทำให้ร่างกายไม่ขาดออกซิเจนในระหว่างนอนหลับ - ลดเสียงกรน
ช่วยให้นอนหลับต่อเนื่องและลดการรบกวนคนข้างเคียง - ลดอาการง่วงนอนในตอนกลางวัน
อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สมาธิ ความจำ และประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น
ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า การรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง สามารถฟื้นฟูคุณภาพการนอนและลดความเสี่ยงโรคร่วม เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ได้อย่างชัดเจน

การรักษาอาการหยุดหายใจขณะหลับด้วย Myofunctional Therapy
Myofunctional Therapy หรือการบำบัดกล้ามเนื้อในช่องปากและลำคอ เป็นวิธีที่เน้น ฝึกกล้ามเนื้อบริเวณลิ้น เพดานอ่อน ริมฝีปาก และกล้ามเนื้อรอบทางเดินหายใจ ให้แข็งแรงและทำงานประสานกันดีขึ้น เพื่อป้องกันการอุดกั้นของทางเดินหายใจขณะนอนหลับ
- ปรับกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจเปิดโล่ง ลดการหยุดหายใจ
- ลดการกรนและเสียงดังขณะนอน เพราะลิ้นและเพดานอ่อนไม่สั่นมากเวลานอน
- ปรับการหายใจให้เป็นจังหวะและต่อเนื่อง ช่วยให้นอนหลับลึกและต่อเนื่องขึ้น
- ช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาอื่น ๆ เช่น ใช้ร่วมกับเครื่อง CPAP หรืออุปกรณ์ ASA เพื่อให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น
การฝึก Myofunctional Therapy มักทำ ต่อเนื่องประมาณ 2–3 เดือน โดยนักบำบัดจะสอนท่าฝึกเฉพาะบุคคลและให้ผู้ป่วยฝึกที่บ้านเป็นประจำ หากทำสม่ำเสมอ สามารถเห็นผลชัดเจนทั้งเรื่อง ลดเสียงกรน ลดอาการหยุดหายใจ และนอนหลับได้เต็มที่ขึ้น
การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การตรวจการนอนหลับ Sleep Test เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เพราะอาการกรนหรือหยุดหายใจบางครั้งอาจไม่ชัดเจน ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดอาจไม่สังเกตเห็น
หลักการทำงานของ Sleep Test
- ตรวจวัด คลื่นสมอง การเต้นของหัวใจ การหายใจ และระดับออกซิเจนในเลือด ขณะนอนหลับ
- บันทึก จำนวนครั้งของการหยุดหายใจและลดระดับออกซิเจน เพื่อประเมินความรุนแรง
- สามารถตรวจทั้ง ในห้องตรวจแบบครบวงจร หรือแบบ Home Sleep Test ที่ทำได้ที่บ้าน
| บทความที่เกี่ยวข้อง ทำไมต้อง “ตรวจการนอนหลับ”
ที่ VitalSleep Clinic มีบริการตรวจการนอนหลับ Sleep Test แบบทำที่บ้าน (Home Sleep Test) สำหรับคนที่สะดวกนอนที่คลินิกหรือโรงพยาบาล จะได้รับอุปกรณ์ตรวจ Sleep Test พร้อมคำแนะนำการใช้งาน สามารถบันทึกการนอนหลับและการหายใจได้ที่บ้านอย่างสะดวกสบาย
FAQs คำถามที่พบบ่อย
- หยุดหายใจขณะหลับอันตรายไหม?
อันตรายมาก เพราะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและเสียชีวิตกะทันหัน - รักษาหายขาดได้หรือไม่?
บางรายหายขาดหากแก้ไขสาเหตุ เช่น ลดน้ำหนักหรือผ่าตัด - เด็กเป็นหยุดหายใจขณะหลับได้ไหม?
ได้ โดยเฉพาะเด็กที่มีต่อมทอนซิลโต - ควรตรวจ Sleep Test เมื่อไหร่?
เมื่อมีอาการกรนหนัก ง่วงทั้งวัน หรือมีโรคหัวใจ ความดันสูง